The public bodies fall directly under the central government because they are not part of a province. " ↑ 19. 0 19. 1 Ministerie van Algemene Zaken (19 May 2015). "Waaruit bestaat het Koninkrijk der Nederlanden? ". Rijksoverheid. ↑ "Wayback Machine" (PDF). 4 June 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 4 June 2017. สืบค้นเมื่อ 3 August 2017. ↑ Cornell University, INSEAD, and WIPO (2018): The Global Innovation Index 2018: Energizing the World with Innovation.
วิเคราะห์บอลคืนนี้ฟุตบอลโลก 2022 : เนเธอร์แลนด์ พบ สหรัฐอเมริกา
175 พันล้าน• ต่อหัว$ 53, 581จีดีพี (ราคาตลาด)2560 (ประมาณ)• รวม$ 824. 480 พันล้าน• ต่อหัว$ 48, 271จีนี (2019) 26. 6[1]ต่ำ · อันดับที่ 15เอชดีไอ (2019) 0. 944[2]สูงมาก · อันดับที่ 8สกุลเงินยูโร 3 (€ EUR)เขตเวลาUTC+1 (CET)• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)UTC+2 (CEST)รหัสโทรศัพท์31โดเมนบนสุด. nl เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: Nederland [ˈneːdərˌlɑnt] เนเดอร์ลันด์; อังกฤษ: Netherlands) หรือที่มักเรียกกันว่า ฮอลแลนด์ (อังกฤษ: Holland) หรือ ฮอลันดา หรือ วิลันดา เป็นประเทศองค์ประกอบ (constituent country) ของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ประกอบด้วยสิบสองจังหวัดในยุโรปตะวันตก และสามเกาะในแคริบเบียน เนเธอร์แลนด์ส่วนที่อยู่ในทวีปยุโรปมีอาณาเขตทิศเหนือและตะวันตกจดทะเลเหนือ ทิศใต้จดประเทศเบลเยียม และทิศตะวันออกจดประเทศเยอรมนี และมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับเบลเยียม เยอรมนีและสหราชอาณาจักร[3] ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่มีรัฐสภาจากการเลือกตั้ง และปกครองด้วยประชาธิปไตยระบบรัฐสภา จัดระเบียบเป็นรัฐเดี่ยว เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ คือ อัมสเตอร์ดัม ทว่า ที่ทำการรัฐบาลตั้งอยู่ที่กรุงเฮก[4] ประเทศเนเธอร์แลนด์ทั้งหมดมักเรียกว่า "ฮอลแลนด์" ซึ่งในการใช้อย่างเข้มงวดจะหมายความถึงจังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์และเซาท์ฮอลแลนด์เท่านั้น ถือกันว่าการใช้แบบแรกนั้นไม่ถูกต้อง[5][6] หรือไม่เป็นทางการ[7] ขึ้นอยู่กับบริบท ทว่า เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปเมื่อหมายถึงฟุตบอลทีมชาติ[8] ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีพื้นที่ต่ำ โดย 20% ของพื้นที่อยู่ และ 21% ของประชากรอาศัยอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และ 50% ของพื้นที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกินหนึ่งเมตร[9][10] ซึ่งลักษณะเด่นนี้เป็นที่มาของชื่อประเทศ ในภาษาดัตช์ อังกฤษและภาษาอื่นของยุโรปอีกหลายภาษา ชื่อประเทศหมายถึง "แผ่นดินต่ำ" หรือ "กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ" พื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเกิดจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการสกัดพีต (peat) อย่างกว้างขวางและมีการควบคุมไม่ดีหลายศตวรรษทำให้พื้นผิวต่ำลงหลายเมตร แม้ในพื้นที่น้ำท่วมถึง การสกัดพีตยังดำเนินต่อไปโดยการขุดลอกพื้นที่ ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการฟื้นสภาพที่ดินและปัจจุบันมีการสงวนพื้นที่โพลเดอร์ (polder) ขนาดใหญ่ด้วยระบบการระบายน้ำที่ซับซ้อนซึ่งมีทั้งพนัง คลองและสถานีสูบ พื้นที่เกือบ 17% ของประเทศเป็นพื้นที่ที่เกิดจากการถมทะเล พื้นที่บริเวณกว้างของเนเธอร์แลนด์เกิดจากชะวากทะเลของแม่น้ำสำคัญของทวีปยุโรปสามสายและลำน้ำแตกสาขาเกิดเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไรน์–เมิซ–ซเกลดะ (Rhine–Meuse–Scheldt delta) พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเป็นที่ราบ ยกเว้นเนินเขาทางตะวันออกเฉียงใต้และเทือกเขาเตี้ย ๆ หลายเทือกทางตอนกลาง ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นสมาชิกก่อตั้งของสหภาพยุโรป จี-10 นาโต้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) องค์การการค้าโลก และเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพเศรษฐกิจไตรภาคีเบเนลักซ์ ประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นที่ตั้งขององค์การห้ามอาวุธเคมี และศาลระหว่างประเทศห้าศาล ได้แก่ ศาลอนุญาโตตุลาการถาวร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ศาลอาญาระหว่างประเทศ คณะตุลาการอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวียและคณะตุลาการพิเศษสำหรับเลบานอน สี่ศาลแรกตั้งอยู่ในกรุงเฮก เช่นเดียวกับยูโรโปล สำนักข่าวกรองอาชญากรรมของสหภาพยุโรป และยูโรจัสต์ สำนักความร่วมมือทางตุลาการ ทำให้กรุงเฮกได้รับสมญาว่า "เมืองหลวงกฎหมายโลก"[11] ประเทศเนเธอร์แลนด์ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบผสมอิงตลาด โดยอยู่ในอันดับที่ 17 จาก 177 ประเทศในดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ[12] ในปี 2554 เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับที่ 10 ของโลก ในเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน OECD จัดให้เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศ "ที่มีความสุขที่สุด" ในโลก ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการครองชีพที่สูง[13] ภูมิศาสตร์[แก้] สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบกว้างใหญ่ พื้นที่ส่วนใหญ่เคยเป็นน้ำทะเลมาก่อนดังนั้นประเทศนี้จึงอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล มีเพียงทางตะวันออกเฉียงใต้ในเขตลิมเบิร์ก เท่านั้นสามารถพบเห็นเนินเขาได้ แม่น้ำไรน์ที่ไหลมาจากเยอรมนี เป็นแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ เนื่องจากเป็นประเทศต่ำกว่าระดับน้ำทะเลจึงทำให้ต้องสร้างเขื่อน เพื่อไม่ให้นำทะเลไหลท่วมได้ เนื่องจากเนเธอร์แลนด์มีที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลเหนือ จึงได้รับอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นด้วย ทำให้ภูมิอากาศของประเทศอบอุ่นกว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรป และมีฝนตกชุกในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง มากถึง 700 มิลลิเมตรต่อปี ประวัติศาสตร์[แก้] ประวัติศาสตร์โดยสังเขป ประมาณช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 เนเธอร์แลนด์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน และมีสันติภาพยาวนานต่อเนื่องเป็นเวลา 250 ปี ต่อมา เมื่อจักรวรรดิโรมันเสื่อมอำนาจลง กลุ่มชนเจอร์แมนิก และเคลติก โดยเฉพาะชาวแฟรงก์ได้เข้าไปครอบครองพื้นที่แถบนั้น ก่อตั้งเป็นจักรวรรดิการอแล็งเฌียง ก่อนจะแยกออกเป็นสามอาณาจักรย่อย ได้แก่ อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก อาณาจักรแฟรงก์กลาง อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก ในเวลาต่อมา โดยดินแดนส่วนใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบันอยู่ในส่วนของอาณาจักรแฟรงก์กลาง ที่ไม่มีความเป็นปึกแผ่น จึงแตกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อยอยู่หลายแคว้น มีเมืองสำคัญได้แก่ ฮอลแลนด์ แอโน ฟลานเดอร์ส เกลเดอร์ส บราบันต์ และยูเทรกต์ ในช่วงนี้ ระบบเกษตรกรรมถูกพัฒนาไปอย่างมาก ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว มีพ่อค้ารายใหม่เกิดขึ้นมากมาย ทำให้เมืองเติบโตมากขึ้น นอกจากนี้ ชาวนาจากฟลานเดอร์สและยูเทรกต์เริ่มผันน้ำทะเลออกและสร้างพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นมาใหม่ทางตะวันตก ทำให้เคาน์ตีฮอลแลนด์เริ่มเรืองอำนาจมากขึ้น ในช่วงปี พ.
เที่ยวบินราคาถูกจากสหรัฐอเมริกาไปเนเธอร์แลนด์ - Skyscanner
เนเธอร์แลนด์ VS สหรัฐอเมริกา : พรีวิว ฟุตบอลโลก 2022 (ช่อง
โกรนิงเงิน 2, 960 km2 (1, 140 sq mi) 2, 325 km2 (898 sq mi) 585, 881 252 คนต่อ ตร. กม. ลิมบูร์ก มาสทริชท์ 2, 210 km2 (850 sq mi) 2, 148 km2 (829 sq mi) 1, 118, 223 521 คนต่อ ตร. กม. นอร์ทบราบันต์ เซร์โทเคนบอส ไอนด์โฮเฟน 5, 082 km2 (1, 962 sq mi) 4, 908 km2 (1, 895 sq mi) 2, 562, 566 523 คนต่อ ตร. กม.
↑ Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020. ↑ "North Sea". Ministry of Defence. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-03. สืบค้นเมื่อ 6 March 2012. ↑ Permanent Mission of the Netherlands to the UN. "General Information". สืบค้นเมื่อ 26 June 2013. ↑ "The Reuters Style Guide". สืบค้นเมื่อ 31 March 2014.
2017[20] และเป็นประเทศแห่งนวัตกรรมอันดับ 2 ของโลกในปี ค. 2018[21] คู่ค้าที่สำคัญของเนเธอร์แลนด์ได้แก่ เยอรมนี เบลเยียม สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อิตาลี จีน และรัสเซีย[22] เนเธอร์แลนด์ติดอันดับประเทศที่ส่งออกมาที่สุด 10 อันดับแรก โดยสินค้าส่งออกหลักคือ อาหาร เคมีภัณฑ์ โลหะ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า การบริการ และการท่องเที่ยว โดยมีบริษัทสัญชาติดัตช์ขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจข้ามชาติอยู่มากมาย อาทิ Unilever เบียร์ Heineken สายการบิน KLM ธนาคาร ING, ABN AMRO, Rabobank เคมีภัณฑ์ DSM, AKZO ปิโตรเลียม Royal Dutch Shell เครื่องใช้ไฟฟ้า Philips, ASML และระบบนำร่องดาวเทียม TomTom เนเธอร์แลนด์ เป็นส่วนหนึ่งของยูโรโซนหรือกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (สีน้ำเงินเข้ม) และกลุ่มตลาดเดียวของสหภาพยุโรป (สีน้ำเงิน) เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 17 ของโลก และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)เฉลี่ยต่อจำนวนประชากรสูงที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก ในช่วง ค.
เนเธอร์แลนด์ พบ กาตาร์ : สนามอัล เบย์ท สเตเดียม เวลา 22.00 น.
6 ตามมาตราริกเตอร์ ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ารวมราว 6. 5 พันล้านยูโร และประมาณ 35, 000 ครัวเรือนได้รับความเสียหาย[27] ประมาณการกันว่าเนเธอร์แลนด์มีแหล่งก๊าซธรรมชาติคิดเป็นร้อยละ 25 ของปริมาณก๊าซสำรองตามธรรมชาติของยุโรป[28] อุตสาหกรรมพลังงานนั้นจึงสร้างรายได้กว่าร้อยละ 11 ของจีดีพีของประเทศ(ในปี ค. 2014) อย่างไรก็ตาม การใช้ก๊าซธรรมชาติในเนเธอร์แลนด์มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากปริมาณสำรองเริ่มลดลง ความต้องการใช้ลดลง และเกิดปัญหาแผ่นดินไหวในแถบโกรนิงเงินบ่อยครั้ง นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังผลักดันให้ประเทศสมาชิกลดการใช้ก๊าซธรรมชาติลงและหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแหล่งพลังงานมาใช้พลังงานหมุนเวียนแทนก๊าซนั้นยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอยู่ เพราะมีปัจจัยทางเศรษฐกิจและการผูกขาดพลังงานโดยบริษัทใหญ่ในประเทศมาเกี่ยวข้อง[29] เกษตรกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ[แก้] เนเธอร์แลนด์มีความสามารถรองรับเชิงนิเวศของโลก (biocapacity) ต่ำ กล่าวคือ มีการสร้างทรัพยากรชีวภาพขึ้นมาใหม่น้อย แต่ในทางกลับกัน ชาวดัตช์มีการเพาะปลูกที่เป็นระบบและมีระบบเกษตรกรรมที่เน้นการส่งออก ชาวดัตช์ราว 4 เปอร์เซ็นต์ประกอบอาชีพเกษตรกรรมแต่ผลิตสินค้าเกษตรได้ปริมาณสูงเกินความจำเป็นต่อการผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร ส่งผลให้เนเธอร์แลนด์ส่งออกสินค้าเกษตรสูงเป็นอันดับหนึ่งในสหภาพยุโรปและสูงเป็นอันดับสองของโลก เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา[30] สร้างรายได้กว่า 80.
1997 ถึง 2000 มีอัตราการเติบโตของจีดีพีสูงเฉลี่ยร้อยละ 4 ต่อปี นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศยุโรปแต่ลดลงเล็กน้อยหลังจากนั้น อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2. 8 ต่อปี[23] และอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 3. 4 ใน ค. 2019[24] ศูนย์กลางทางการเงินและธุรกิจของเนเธอร์แลนด์อยู่ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม โดยมีตลาดหลักทรัพย์อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam Stock Exchange หรือ AEX) เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ ปัจจุบันถือเป็นส่วนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ยุโรป (Euronext) เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกๆที่เริ่มใช้เงินสกุลยูโรพร้อมกับอีก 15 ประเทศ โดยเริ่มใช้ในทางบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค. 1999 และเริ่มใช้เหรียญและธนบัตรยูโรอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม ค. 2002 โดยอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ยูโรต่อ 2. 20371 คิลเดอร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินเก่าของชาวดัตช์ ทำเลที่ตั้งของเนเธอร์แลนด์ทำให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางการค้ามาอย่างช้านาน ทั้งการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสหราชอาณาจักรและเยอรมนี และประเทศในภูมิภาคอื่นของโลก นับตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน นอกจากนี้ ยังมีแม่น้ำสำคัญหลายสายไหลผ่านมาจากหลายประเทศในยุโรปและออกสู่ทะเลที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้หลายเมืองกลายเป็นท่าเรือ โดยเฉพาะท่าเรือรอตเทอร์ดาม (Rotterdam) ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่และมีความสำคัญทางด้านการค้าระหว่างประเทศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เปิดโอกาสให้ชาวเนเธอร์แลนด์ทำการค้าได้สะดวก และการค้ากับประเทศในแถบเอเชียและอเมริกามีความสำคัญกับเศรษฐกิจของชาวดัตช์มาตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากนี้ การที่เนเธอร์แลนด์ มีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก ชาวดัตช์ต้องอาศัยการเกษตรกรรม การประมง เลี้ยงสัตว์ ไม่มีแร่ธาตุสำคัญ (น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติมาค้นพบในระยะหลังๆ) ดังนั้น จึงต้องอาศัยการค้าเป็นหลัก เพื่อความอยู่รอด จนได้รับการขนานนามว่าเป็นชาตินักการค้า (Trading nation) และประสบความสำเร็จในด้านการค้ามาตลอด ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ความเชี่ยวชาญด้านการค้านั้น ดูได้จากการค้าระหว่างประเทศของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น และได้เปรียบดุลการค้ามาตลอดหลายปีติดต่อกัน ปัจจุบัน เนเธอร์แลนด์ยังคงดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้เสมอ และยังเป็นหนึ่งในห้าประเทศที่ไปลงทุนในสหรัฐอเมริกามากที่สุด ก๊าซธรรมชาติ[แก้] แหล่งก๊าซธรรมชาติในเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 และกลายมาเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้มหาศาลหลายแสนล้านยูโรให้กับประเทศ[25] แต่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเนื่องจากอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติก็ไปกระทบทำให้ภาคเศรษฐกิจอื่นๆถดถอยได้เช่นกัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคดัตช์[25] แหล่งก๊าซโกรนิงเงิน เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ใกล้เมืองโกรนิงเงิน สร้างรายได้ให้กับประเทศมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970 รวมเป็นเงินกว่า 159, 000 ล้านยูโร[26] ดำเนินการขุดเจาะโดยบริษัท Gasunie ที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าของ แล้วส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่อให้รัฐบาล บริษัท Shell และ Exxon Mobil ใช้ประโยชน์ต่อไป อย่างไรก็ตาม การขุดเจาะก๊าซส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่ผิวโลกมากขึ้น และบางครั้งทำให้เกิดแผ่นดินไหวสูงถึงระดับ 3.
5 ล้านคน ในเนเธอร์แลนด์ ได้ลงทะเบียนกับสโมสรกีฬาที่มีกว่า35, 000แห่งในเนเธอร์แลนด์ ผู้คน 2 ใน 3 ที่มีอายุมากกว่า 15 ปี จะเล่นกีฬาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์. ฟุตบอลเป็นกีฬาที่นิยมที่สุดในเนเธอร์แลนด์ และตามด้วยฮอคกี้และวอลเลย์บอลตามลำดับ กอล์ฟ, ยิมนาสติกและเทนนิส เป็นกีฬาประเภทเดียวที่นิยมกันในเนเธอร์แลนด์ องค์กรณ์เกี่ยวกับกีฬาได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 19 สหพันธ์การกีฬาได้ถูกสร้างขึ้นมา. กฏกีฬาได้ถูกประกาศออกมาเป็นทางการ และได้มีสโมสรกีฬาเป็นทางการ. คณะกรรมการโอลิมปิกของดัตซ์ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.
com. 25 May 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-11. สืบค้นเมื่อ 28 October 2011. ↑ "Gemeentelijke indeling op 1 januari 2019" [Municipalities on 1 January 2019]. CBS Classifications (ภาษาดัตช์). CBS. 1 January 2019. สืบค้นเมื่อ 7 February 2020. ↑ "De waterschappen" (ภาษาดัตช์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 November 2013.
2010 นิติบัญญัติ[แก้] เนเธอร์แลนด์ใช้ระบบสองสภาในกระบวนการนิติบัญญัติ โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 150 คนทำหน้าที่ในสภาล่างและมาจากการเลือกตั้งโดยตรงตามสัดส่วนของการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ มีการจัดเลือกตั้งทุก 4 ปีหรือเมื่อมีการยุบสภา และมีอำนาจในการเสนอและแก้ไขกฎหมาย ส่วนสมาชิกวุฒิสภาหรือสภาบนมีทั้งหมด 75 คน และมาจากการเลือกตั้งทุก 4 ปีเช่นเดียวกัน มีอำนาจในการปฏิเสธข้อกฎหมายที่สภาล่างเสนอเข้ามา นอกจากนี้ สมาชิกบางส่วนของทั้งสองสภายังเป็นสมาชิกของสภาเบเนลักซ์ระหว่างประเทศอีกด้วย ตุลาการ[แก้] รูปแบบการเมือง[แก้] สหภาพการค้าและองค์กรลูกจ้างต่างๆของเนเธอร์แลนด์จะมีการประชุมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรึกษาหารือกันด้านนโยบายการเงิน เศรษฐกิจและสังคม ก่อนจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะการสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ และคณะกรรมการจะนำใจความไปเสนอต่อรัฐบาลต่อไป เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่เปิดเสรีทางความคิดมาอย่างช้านาน นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เช่นการเปิดรับคริสตจักรปฏิรูปให้ได้รับการยอมรับเช่นเดียวกับนิกายคาทอลิก โปรเตสแตนท์ จนถึงการยอมรับศาสนายูดาห์ นอกจากนี้ เนเธอร์แลนด์ยังเปิดเสรีกัญชาเพื่อความบันเทิง การออกกฎหมายรองรับการค้าประเวณี สิทธิเพศทางเลือก การุณยฆาต และการแท้ง การแบ่งเขตการปกครอง[แก้] ประเทศเนเธอร์แลนด์แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 12 จังหวัด (provincie) โดยแต่ละจังหวัดแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเทศบาล (gemeenten) รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 355 เทศบาล[14] แต่หากแบ่งตามเขตการบริหารจัดการน้ำจะแบ่งออกเป็น 21 เขตโดยแต่ละเขตมีคณะกรรมการน้ำ (waterschap) เป็นผู้ดูแล ซึ่งเขตการจัดการน้ำนี้มีมาก่อนการก่อตั้งประเทศเนเธอร์แลนด์เสียอีก โดยเริ่มตั้งแต่ ค.
เนเธอร์แลนด์ vs กาตาร์-【อิหร่าน vs สหรัฐอเมริกา】
2016 [39] ปัจจุบัน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์มีแผนติดตั้งสถานีชาร์ตไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศกว่า 200 สถานี โดยมีบริษัท ABB และ Fastned เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ โดยมีแผนจะติดตั้งให้มีอย่างน้อย 1 สถานีในระยะรัศมี 50 กิโลเมตรจากบ้านทุกหลักในเนเธอร์แลนด์ [40] วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี[แก้] เนเธอร์แลนด์มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การวิจัย และสร้างนวัตกรรม ทำให้ชาวดัตช์ค้นพบ สร้างสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมต่างๆมากมายให้กับโลก เช่น ตำราโครงสร้างของร่างกายมนุษย์โดยแอนเดรียส เวซาเลียส การค้นพบวงแหวนของดาวเสาร์และดวงจันทร์ไททันโดยคริสตียาน เฮยเคินส์ การค้นพบกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โดยยัน อิงเงินฮุส จนถึงการคิดค้นภาษาไพทอน โดยคีโด ฟัน โรสซึม เนื่องจากวิทยาศาสต์และเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของเนเธอร์แลนด์ รัฐบาลจึงเป็นผู้ควบคุมโดยตรง โดยมีกระทรวงศึกษา วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ (OCW) และกระทรวงเศรษฐกิจและนโยบายสภาพภูมิอากาศ (EZK) ร่วมวางนโยบายและจัดทำแผนยุทธศาสตร์และงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษา[แก้] การศึกษาภาคบังคับของเนเธอร์แลนด์อยู่ระหว่างช่วงอายุ 5 ปีถึง 16 ปี และแบ่งโรงเรียนตามระดับการศึกษาได้เป็น โรงเรียนประถมศึกษา นักเรียนอายุ 4-12 ปี โดยโรงเรียนประถมศึกษาในเนเธอร์แลนด์จะมี 8 ระดับชั้น ซึ่งเรียกว่า Groep 1-8 โรงเรียนมัธยมศึกษา โดยจะแบ่งรูปแบบการสอนเป็น 3 หลักสูตร 1.
2050 โดยตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงครึ่งหนึ่ง และไฟฟ้าราวร้อยละ 40 ต้องมาจากแหล่งพลังงานที่ยั่งยืน[53] หมายเหตุ[แก้] ↑ 1. 0 1. 1 อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองหลวงตามรัฐธรรมนูญ ในขณะที่รัฐบาลและราชวงศ์มีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เดอะเฮก อ้างอิง[แก้] ↑ "Gini coefficient of equivalised disposable income – EU-SILC survey". ec. europa. eu/eurostat. Eurostat. สืบค้นเมื่อ 9 July 2020.
1810) เนเธอร์แลนด์ก็ได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อพระเจ้านโปเลียนแพ้สงครามที่ยุทธการที่ไลพ์ซิช ใน พ. 2356 (ค. 1813) จักรวรรดิฝรั่งเศสจึงเสื่อมอำนาจลงเนเธอร์แลนด์จึงได้รับเอกราชคืนมาอีกครั้ง เจ้าชายวิลเลียม เฟรเดริค โอรสของผู้ปกครองเนเธอร์แลนด์คนสุดท้ายได้กลับมายังดินแดนเนเธอร์แลนด์ในปีเดียวกัน และได้ครองราชย์ราชรัฐเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่อีกสองปีต่อมา ผลจากการประชุมใหญ่แห่งเวียนนาจะยกดินแดนเบลเยียมในปัจจุบันให้เป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ เจ้าชายวิลเลียม เฟรเดริคจึงได้ทรงก่อตั้งสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ขึ้น และสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าวิลเลิมที่ 1 แห่งเนเธอร์แลนด์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์พระองค์แรก และแกรนด์ดยุกลักเซมเบิร์ก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความแตกต่างในทุก ๆ ด้านระหว่างเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม ประเทศทั้งสองจึงได้แยกออกจากกันในปี พ.
1927 ถึง 2124 (ค. 1384 ถึง 1581) เนเธอร์แลนด์อยู่ภายใต้การปกครองของดยุคแห่งเบอร์กันดี ในยุคนี้ อัมสเตอร์ดัมเติบโตขึ้นและกลายเป็นท่าเรือสินค้าที่สำคัญของทะเลบอลติก เป็นจุดกระจายธัญพืชที่สำคัญสู่เบลเยียม ฝรั่งเศสตอนเหนือ และอังกฤษ กองกำลังของเคาน์ตีฮอลแลนด์ก็มีความเข้มแข็งมากขึ้นและสามารถเอาชนะกองทัพของสันนิบาตฮันเซอได้หลายครั้งภาพวาด สงครามอังกฤษ-ดัตช์ ครั้งที่ 2 โดย ปีเตอร์ โคร์เนลิสซ์ ฟอน ซูสต์กลุ่มประเทศต่ำช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14เจ้าชายวิลเลิมที่ 1 ผู้นำการปฏิวัติดัตช์ต่อจักรวรรดิสเปนในศตวรรษที่ 16 จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และกษัตริย์ของสเปน ได้รวบรวมเอาดินแดนทั้งหมดในเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก ตั้งเป็นกลุ่มสิบเจ็ดมณฑล ขึ้นตรงต่อสเปน ต่อมาเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์และขุนนางจำนวนหนึ่ง ได้ก่อการปฏิวัติต่อสมเด็จพระราชาธิบดีฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน ใน ค.
ข้อมูลประเทศเนเธอร์แลนด์ - เดอะเบสท์ แนะแนวเรียนต่อประเทศ
คนเราต้องฝันไว้ก่อน! ฟาน กัล มั่นใจ เนเธอร์แลนด์ ไปได้สวยในบอลโลก
1950 โดยปัจจุบันมีการใช้รถยนต์คิดเป็นราวๆครึ่งหนึ่งของการคมนาคมทั้งหมด รองลงมาเป็นการใช้จักรยานร้อยละ 25 การเดินร้อยละ 20 และการขนส่งสาธารณะร้อยละ 5 [32] เนเธอร์แลนด์มีโครงข่ายถนนยาว 139, 295 กิโลเมตร มีทางด่วนพิเศษยาว 2, 758 กิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีระบบถนนหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก [33] การขนส่งสาธารณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือรถไฟ โดยเนเธอร์แลนด์มีระบบโครงข่ายรถไฟยาวกว่า 3, 013 กิโลเมตรและถักทอกันอย่างค่อนข้างหนาแน่น [34] ทำหน้าที่เชื่อมต่อเมืองใหญ่ต่างๆเข้าด้วยกัน มีสถานีทั้งหมดกว่า 400 สถานี แต่ละเส้นจะมีรถไฟวิ่งอย่างน้อย 2 ขบวนต่อชั่วโมง และเฉลี่ยอยู่ที่ 2-4 ขบวนต่อชั่วโมง [35] ในการให้บริการนั้น บริษัทรถไฟ NS ของรัฐเป็นผู้ให้บริการหลักในประเทศ และยังมีรถไฟระหว่างประเทศเชื่อมต่อกับเบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษอีกด้วย จักรยาน เป็นอีกพาหนะหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันในเนเธอร์แลนด์ มีการประมาณตัวเลขไว้ว่าชาวเนเธอร์แลนด์มีจักรยานรวมราวๆ 18 ล้านคัน [36] หรือหนึ่งคันเศษๆต่อประชากรหนึ่งคน นอกจากนี้เนเธอร์แลนด์มักจะถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่เป็นมิตรกับผู้ใช้จักรยานอยู่เป็นอันดับต้นๆร่วมกับเดนมาร์กอยู่เสมอ โดยชาวดัตช์นิยมปั่นจักรยานไปทำงานอยู่เป็นประจำ [37] เพราะมีเส้นทางที่ทำแยกไว้สำหรับจักรยานโดยเฉพาะยาวถึง 35, 000 กิโลเมตร และในหลายจุดยังมีสัญญาณไฟจราจรที่ทำไว้สำหรับจักรยานโดยเฉพาะอีกด้วย [38] ท่าเรือรอตเทอร์ดามเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเมิสและแม่น้ำไรน์ซึ่งเชื่อมต่อเมืองสำคัญในหลายประเทศ ทั้งเยอรมนี เบลเยียม ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ อุตสาหกรรมหลักที่ใช้บริการท่าเรือแห่งนี้คืออุตสาหกรรมปิโตรเลียมและการขนส่งสินค้าทั่วไป มีเรือเดินสมุทร เรือแม่น้ำ รถไฟ และรถบรรทุกเข้ามาถ่ายเปลี่ยนสินค้าอยู่ตลอดเวลา ท่าอากาศยานอัมสเตอร์ดัมสคิโพล ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอัมสเตอร์ดัม เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ และเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดเป็นอันดับสามในยุโรป รองรับผู้โดยสารกว่า 70 ล้านคนในปี ค.
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ - กระทรวงการต่างประเทศ
Cambridge University Press. ISBN 90-6704-185-8., specifically, "In the 1990s, during his term as United Nations Secretary-General, Boutros Boutros-Ghali started calling The Hague the world's legal capital. " ↑ "Netherlands". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-10. สืบค้นเมื่อ 2014-04-16. {{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์), Index of Economic Freedom. heritage. org ↑ "Where is the happiest place on Earth? | The Search Office Space Blog | Searchofficespace". News. searchofficespace.
↑ "The BBC News Styleguide" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-02-27. สืบค้นเมื่อ 31 March 2014. ↑ "Telegraph style book: places and peoples". สืบค้นเมื่อ 31 March 2014. ↑ "The Guardian style guide" (PDF). สืบค้นเมื่อ 31 March 2014. ↑ "Milieurekeningen 2008" (PDF). Centraal Bureau voor de Statistiek. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-02-15. สืบค้นเมื่อ 4 February 2010. ↑ "Netherlands Guide – Interesting facts about the Netherlands". Eupedia. 19 April 1994. สืบค้นเมื่อ 29 April 2010. ↑ van Krieken, Peter J. (2005). The Hague: Legal Capital of the World.
สืบค้นเมื่อ 7 June 2013. ↑ "Totale oppervlakte". ↑ "CBS Statline". opendata. cbs. nl. ↑ "31. 954, Wet openbare lichamen Bonaire, Sint Eustatius en Saba" (ภาษาดัตช์). Eerste kamer der Staten-Generaal. สืบค้นเมื่อ 15 October 2010. De openbare lichamen vallen rechtstreeks onder het Rijk omdat zij geen deel uitmaken van een provincie. "Through the establishment of the BES islands as public bodies, rather than communities, the BES islands' rules may deviate from the rules in the European part of the Netherlands. The Dutch legislation will be introduced gradually.
สหรัฐ เฉือน อิหร่าน กอดคอ อังกฤษ ฉลุย16ทีม รอดวลเนเธอร์แลนด์
สหรัฐอเมริกา VS เวลส์ : พรีวิว ฟุตบอลโลก 2022 - สสวท